
กรุงเทพฯ 2 กันยายน 2568 – อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผู้จัดงานแสดงสินค้าระดับโลก เตรียมจัดสองงานใหญ่พร้อมกัน ได้แก่ งาน Food ingredients Asia (Fi Asia 2025) และ Vitafoods Asia 2025 ซึ่งเป็นเวทีระดับนานาชาติสำหรับอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัด โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อ “ปลดล็อค” ศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ใช้นวัตกรรมสร้างจุดแข็งสินค้าไทยคว้าโอกาสในตลาดโลก
นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ – ภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า การเติบโตของ Food Ingredient Industry ในไทย จะเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานมาตรฐานและความปลอดภัยระดับสากล นวัตกรรมและงานวิจัยเชิงลึก การพัฒนาแบรนด์และการตลาดโลก ความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า สำคัญคือ ความร่วมมือระหว่างรัฐ – เอกชน – วิชาการ หากทำครบทุกด้าน เชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีโอกาสก้าวจาก “ครัวของโลก” (Kitchen of the World) ไปสู่ “ศูนย์กลางนวัตกรรม Food Ingredient แห่งเอเชีย” ได้จริงในอนาคต โดยประเทศไทยสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ จากการผลิต Functional Ingredients (เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ, โปรตีนจากพืช, เสริมภูมิคุ้มกัน, Anti-aging) ที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุและผู้รักสุขภาพ ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเฉพาะ (Specialty Ingredients) จากต่างประเทศ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงโภชนาการที่ดีขึ้น และลดภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว
ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดปี 2568 โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 90,000 ล้านบาท หรือ เติบโตประมาณ 7 – 9% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน อาหารบำรุงสมอง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิว ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีจุดแข็งที่สำคัญในการแข่งขัน ทั้งในด้านวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย ที่สามารถนำมาสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามความท้าทายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนเทคโนโลยีที่สูง และการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งในต่างประเทศ ดังนั้น การเข้าถึงนวัตกรรมและเครือข่ายระดับโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เวที Fi Asia & Vitafoods Asia 2025 จึงเข้ามามีบทบาทในการเป็นตัวเร่งสำคัญเพื่อปลดล็อคศักยภาพเหล่านั้น โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ เข้าถึงเทคโนโลยีและส่วนผสมใหม่ๆ งานนี้เปิดโอกาสให้พบกับนวัตกรรมล่าสุด เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืชและจุลินทรีย์, สารสกัดจากสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเฉพาะ, และเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน สร้างเครือข่ายธุรกิจระดับสากล การรวมตัวของผู้ผลิต ผู้ซื้อ และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกกว่า 30,000 คน ทำให้เกิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยกระดับความน่าเชื่อถือ การได้นำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวทีนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ และยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของไทยมีคุณภาพทัดเทียมกับมาตรฐานสากล
“Thailand – Kitchen of the World”
ดร. ภณธกร วงศ์เจริญ กรรมการสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์นวัตกรรมอาหารเครือบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เสริมว่า ประเทศไทยมีโอกาสมากมายจากเมกะเทรนด์โลก ไม่ว่าจะเป็นความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารจากพืช (Plant-Based) และอาหารยั่งยืน นอกจากนี้ ชื่อเสียงของไทยในฐานะ “ครัวของโลก” ยังเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้า แต่ก็มีความท้าทายในด้านต้นทุนการผลิตที่สูง การแข่งขันจากต่างประเทศ และกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน การเร่งปลดล็อคศักยภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งในด้านการยกระดับมาตรฐาน การลงทุนในนวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร
นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ว่า อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย, นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ ประกอบกับประเทศไทยมีจุดแข็งด้านคุณภาพวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งคลัสเตอร์ฯ มีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ
เชื่อมโยงงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ – กุญแจสู่ความสำเร็จ
ผศ.ดร.พิสิฏฐ์ ธรรมวิถี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมคณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงภาคการศึกษาและภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน เพื่อให้นวัตกรรมจากห้องวิจัยถูกนำไปใช้จริงในเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจ ได้แก่ การใช้จุลินทรีย์ผลิตสารออกฤทธิ์, การสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรไทย, และการพัฒนาอาหารจากพืช ซึ่งการสร้างโจทย์วิจัยร่วมกัน การมีตัวกลางประสานงาน และการสนับสนุนด้านเงินทุน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง
ด้านนายพานุศักดิ์ พลาวัสถ์พงษ์ อุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรุงและอาหารพร้อมรับประทาน สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวเสริมว่า แม้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ จะเป็นโจทย์สำคัญให้ผู้ประกอบการต้องฝ่าฟัน แต่การยกระดับมาตรฐานการผลิต และความปลอดภัยอาหาร (Food Safety & Compliance) ยังเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบตรวจสอบ ทำงานเชิงรุกกับตลาดคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป/สหรัฐ ที่เข้มงวดด้าน ESG และ Carbon Footprint เป็นต้น
นอกจากนั้น การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรม (Innovation & Value Creation) พัฒนาอาหารสุขภาพ, Functional Food และ Plant-based ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ ร่วมมือกับสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และสตาร์ตอัป เพื่อสร้างสูตร/ผลิตภัณฑ์ใหม่ การปรับตัวด้านต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการใช้ระบบดิจิทัล เช่น AI และ Blockchain ในการจัดการโลจิสติกส์ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบทดแทนจากเกษตรในประเทศ เพื่อลดการนำเข้า พร้อมกับการเจาะตลาดใหม่และสร้างแบรนด์ไทยในเวทีโลก เช่น รุกตลาดเกิดใหม่ เช่น แอฟริกา, ตะวันออกกลาง, CLMV ใช้ e-Commerce รวมถึงการขับเคลื่อนด้วยนโยบายรัฐด้วยการทำงานใกล้ชิดกับ BOI, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อดึงสิทธิประโยชน์ ขณะเดียวกันต้องสร้างมาตรฐานการผลิตที่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero และ SDGs เชื่อว่า สื่อสารภาพลักษณ์ “Thailand – Kitchen of the World” ยิ่งชัดเจนมากขึ้นในเวทีโลก
โดยที่งาน Fi Asia 2025 และ Vitafoods Asia 2025 จะเป็นเวทีที่สำคัญส่วนหนึ่งให้ผู้ประกอบการไทยในการคว้าโอกาสทางธุรกิจ เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เป็นผู้นำในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน มาร่วมยกระดับขีดความสามารถ “ปลดล็อก” ประเทศไทยสู่ศูนย์กลางผู้ผลิตส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัดระดับโลก ลงทะเบียนร่วมงาน Fi Asia 2025 ได้ที่ Fi Asia 2025- Registration และร่วมงาน Vitafoods Asia 2025 ได้ที่ Vitafoods Asia 2025- Registration แล้วพบกันที่งานฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 ฮอลล์ 1 – 4 ชั้น G และฮอลล์ 5 – 8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)